การผลิต หมายถึง กระบวนการของการเปลี่ยนแปลงปัจจัยการผลิตที่ผ่านเข้าไปในกระบวนการผลิตออกมาเป็นผลผลิต
ปัจจัยการผลิต
1. ปัจจัยคงที่ (Fixed factors)
2. ปัจจัยผันแปร (Variable factors)
ระยะเวลาที่ใช้ในการผลิต
1. ระยะสั้น (Short run period)
2. ระยะยาว (Long run period)
ฟังก์ชั่นการผลิต หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการผลิตกับผลผลิต
Q = f(X1, X2, ... , Xn)
ฟังก์ชั่นการผลิต อาจเขียนให้อยู่ในรูปสมการ
หรือ
ฟังก์ชั่นการผลิตอาจเขียนให้อยู่ในรูปของตาราง
ตารางแสดงความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการผลิตกับผลผลิตในระยะสั้น
ผลผลิตหน่วยสุดท้าย (Marginal Product : MP)
หมายถึง ปริมาณผลผลิตที่เปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงการใช้ปัจจัยการผลิตผันแปรไปหนึ่งหน่วย
ผลผลิตเฉลี่ย (Average Product : AP)
หมายถึง ปริมาณผลผลิตเฉลี่ยต่อหน่วยของปัจจัยการผลิตผันแปร
AP = TP
VF
โดยที่ AP = ผลผลิตเฉลี่ย
TP = ผลผลิตรวม
VF = ปัจจัยผันแปรที่ใช้ในการผลิต
ผลผลิตหน่วยสุดท้าย (Marginal Product : MP)
หมายถึง ปริมาณผลผลิตที่เปลี่ยนแปลงเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงการใช้ปัจจัยการผลิตผันแปรไปหนึ่งหน่วย
MP = ΔTP
ΔVF
โดยที่ ΔTP = ปริมาณการเปลี่ยนแปลงของผลผลิตทั้งหมด
ΔVF = ปริมาณการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยผันแปร
ถ้าฟังก์ชั่นการผลิต คือ
Q = ∂0 + ∂1K + ∂2L
โดยที่ Q = ปริมาณการผลิต
K = ปัจจัยทุนซึ่งคงที่
L = ปัจจัยแรงงานซึ่งผันแปรได้
MP = ∂Q
∂L
การผลิตในระยะสั้น
ในระยะสั้นผู้ผลิตไม่สามารถเปลี่ยนแปลงปัจจัยการผลิตได้ทุกชนิด ดังนั้นในการผลิต จึงมีทั้งปัจจัยคงที่และปัจจัยผันแปร ถ้าเราให้ K (ทุน) และ L (แรงงาน) คือปัจจัยการผลิตที่ใช้อยู่ โดยกำหนดให้ทุนมีจำนวนคงที่ Q คือผลผลิต ดังนั้นเราอาจเขียนฟังก์ชั่นการผลิตได้ว่า
Q = f(L,K)
Q = f(L)
เส้นฟังก์ชั่นการผลิต
กฎการลดลงของผลที่ได้หรือกฎการลดน้อยถอยลง (Law of diminishing returns)
"เมื่อมีการใช้ปัจจัยการผลิตชนิดใดชนิดหนึ่งเพิ่มขึ้น ร่วมกับการใช้ปัจจัยการผลิตอื่นที่มีจำนวนคงที่ ผลผลิตที่ได้รับเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มการใช้ปัจจัยการผลิตที่ผันแปร (MP) ในระยะแรกจะเพิ่มขึ้น ต่อมาจะลดลง และในที่สุดก็จะติดลบ ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการผลิตและผลผลิตในระยะสั้นจะเป็นไปตามกฎการลดลงของผลได้ (Law of diminishing returns)"
เส้น MP ค่า MP ได้จากค่ามุม Tan ของเส้นสัมผัสกับเส้น AP
เส้น AP ค่า AP ได้จากค่ามุม Tan ของเส้นที่ลากจากจุด O ไปตัดกับเส้น TP
การผลิตในระยะยาว
หมายถึง การผลิตที่หน่วยธุรกิจสามารถเปลี่ยนแปลงขนาดหรือปัจจัยการผลิตทุกชนิด
การใช้ปัจจัยผันแปรมากกว่าหนึ่งชนิดผลิตสินค้าหนึ่งชนิด
Q = f(V1, V2, V3, .... , Vn)
เพื่อให้ง่ายต่อกาศึกษา ในการวิเคราะห์เรามักจะสมมติให้มีการใช้ปัจจัยผันแปรเพียงสองชนิดเท่านั้น แรงงานและทุน ฟังก์ชั่นการผลิตจะเขียนได้ว่า
Q = f(L,K)
เส้นผลผลิตเท่ากัน
คือ เส้นที่แสดงส่วนผสมต่างๆ ของปัจจัยการผลิตตั้งแต่สองชนิดขึ้นไปที่ให้ผลผลิตจำนวนเดียวกัน
ลักษณะของเส้นผลผลิตเท่ากัน
- เส้นผลผลิตเท่ากัน จะเป็นเส้นต่อเนื่องลาดจากซ้ายลงมาทางขวา
- เส้นผลผลิตเท่ากัน จะไม่ตัดกันหรือสัมผัสกัน
- เส้นผลผลิตเท่ากัน จะสามารถแสดงการวัดออกมาในรูปของหน่วยผลิตที่แน่นอนได้
- เส้นผลผลิตเท่ากัน จะเป็นเส้นโค้งเว้าเข้าหาจุดกำเนิด
อัตราสุดท้ายของการใช้แทนกันทางเทคนิคของปัจจัยการผลิต (marginal rate of technical substitution : MRTS) คืออัตราส่วนระหว่าง จำนวนปัจจัยการผลิตชนิดหนึ่งที่ลดลง ต่อ จำนวนปัจจัยการผลิตอีกชนิดหนึ่งที่เพิ่มขึ้นจากการเคลื่อนตัวไปบนเส้นผลผลิตเท่ากันเส้นเดียวกันหมายถึง ค่าที่บอกให้รู้ว่า เมื่อเพิ่มปัจจัยการผลิตชนิดหนึ่งขึ้นหนึ่งหน่วยแล้ว จะสามารถการใช้ปัจจัยการผลิตอีกชนิดหนึ่งลงได้จำนวนเท่าใด โดยผลผลิตที่ได้รับมีจำนวนคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
การหาค่า MRTSLK
ถ้าให้ฟังก์ชั่นการผลิต
Q = f(L,K)
dQ = ∂f .dL + ∂f .dK
∂L ∂K
MRTSLK = ΔK
ΔL
MPL = ΔTP = dTP
ΔL dL
MPK = ΔTP = dTP
ΔK dK
MRTSLK = MPL
MPK
ความสัมพันธ์ระหว่าง MRTS และ MP
เมื่อผู้ผลิตเพิ่มการใช้ปัจจัยการผลิตชนิดใดชนิดหนึ่งขึ้นเื่รื่อยๆ เพื่อใช้แทนปัจจัยการผลิตอีกชนิดหนึ่งที่มีจำนวนลดลง โดยคงจำนวนผลผลิตไว้เท่าเดิม อัตราสุดท้ายของการใช้ปัจจัยแทนกันทางเทคนิคระหว่างปัจจัยการผลิตทั้งสองจะค่อยๆลดลง
(กราฟ)
กฎผลได้ต่อขนาด
ผลได้ต่อขนาด (returns to scales) หมายถึง ส่วนเปลี่ยนแปลงในการผลิตเมื่อปัจจัยการผลิตทุกชนิดที่ใช้เปลี่ยนแปลงไปในสัดส่วนเดียวกัน
1. ผลได้ต่อขนาดเพิ่มขึ้น (increasing returns to scales)
หมายถึง อัตราการเพิ่มขึ้นของผลผลิตสูงกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของปัจจัยการผลิต
2. ผลได้ต่อขนาดลดลง (decreasing returns to scales)
หมายถึง อัตราการเพิ่มขึ้นของผลผลิตต่ำกว่าอัตราเพิ่มขึ้นของปัจจัยการผลิต
3. ผลที่ได้ต่อเนื่องคงที่ (constant returns to scale)
หมายถึง อัตราการเพิ่มขึ้นของผลผลิตเท่ากับอัตราการเพิ่มขึ้นของปััจัยการผลิต
การเพิ่มขึ้นของผลได้ต่อขนาดเป็นผลมาจาก
1. ในขณะที่ขนาดการผลิตขนาดใหญ่ขึ้นๆ แรงงานแต่ละคนจะสามารถได้รับการฝึกอบรม และมอบหมายให้ทำหน้าที่การงานอันใดอันหนึ่งที่ตนมีความชำนาญเป็นพิเศษเฉพาะเนื่องจากขณะนี้ปริมาณงานแต่ละหน้าที่มีมากพอ ผลผลิตย่อมเพิ่มขึ้นได้มาก
2. ในการผลิตขนาดใหญ่นั้น ย่อมเป็นการคุ้มที่จะนำเครื่องจักรเครื่องมือที่มีลักษณะพิเศษเข้ามาใช้
3. ในกระบวนการผลิตโดยปกติ เรามักพบว่าการดำเนินการผลิตในขนาดใหญ่ จะให้ประสิทธิภาพทางเทคนิคที่สูงกว่าการดำเนินการในขนาดเล็ก
(กราฟ)
เส้นต้นทุนเท่ากัน (Isocost line)
คือ เส้นที่แสดงส่วนประกอบต่างๆกันของปัจจัยการผลิตตั้งแต่สองชนิดขึ้นไป ที่ซื้อได้ด้วยเงินทุนจำนวนเดียวกัน
ถ้าให้ราคาปัจจัย L คือ W และราคาปัจจัย K คือ r เป็นราคาที่คงที่โดยตลอดไม่ว่าผู้ผลิตจะซื้อปัจจัยทั้งสองชนิดเป็นจำนวนเท่าใดก็ตามจากเงินงบประมาณที่ผู้ผลิตมีอยู่จำนวนหนึ่ง (C) เราสามารถเขียนฟังก์ชั่นของเส้นต้นทุนเท่ากันได้ ดังนี้
WL + rK = C
หรือ K = C - W . L
r r
การเปลี่ยนแปลงของเส้นต้นทุนเท่ากัน
ส่วนผสมที่ดีที่สุดจากการใช้ปัจจัยการผลิตสองชนิดผลิตสินค้าหนึ่งชนิด
ส่วนผสมที่ดีที่สุดที่กล่าวนี้ จะหมายถึงส่วนผสมของปัจจัยการผลิตสองชนิดที่ให้ต้นทุนต่ำสุดสำหรับปริมาณการผลิตจำนวนหนึ่งๆ หรือจะหมายถึงส่วนผสมของปัจจัยการผลิตสองชนิดที่ให้ผลผลิตสูงสุดสำหรับต้นทุนจำนวนหนึ่งๆ ก็ได้
Slop ของ Isocost = C/r
C/w
= C . w
r C
= w
r
ที่จุดสัมผัส = PL
PK
MRTSLK = PL
PK
MPL = PL
MPK PK
ผลของการเปลี่ยนแปลงปริมาณการผลิต ผลของการใช้แทนกัน และผลของราคา
C1 = อัตราค่าจ้างสูงขึ้น ใช้แรงงานได้น้อยลง ใช้ทุนเท่าเดิม
E1 = ทุนและค่าจ้างไม่เปลี่ยนแปลง
E2 =
E3 = ค่าจ้างสูงขึ้นใช้แรงงานได้น้อยลงใช้ทุนเพิ่มขึ้น
ผลของการใช้แทนกัน คือ
ลด L จาก OL1 => OL2
ผลของการลดการผลิต คือ
ลด L จาก OL2 => OL3
ผลของการใช้แทนกัน + ผลของการลดผลผลิต คือ ผลของราคา
L1L2 + L2L3 = L1L3
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น