12 ตุลาคม 2556

BUS 6010 : บทที่ 3 ทฤษฎีการกำหนดขึ้นของรายได้ประชาชาติดุลยภาพ Macro(3)

BUS 6010 เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ (Business Economics) : เศรษฐศาสตร์มหภาค
บรรยาย: รศ. สมรักษ์ รักษาทรัพย์

บทที่ 3 ทฤษฎีการกำหนดขึ้นของรายได้ประชาชาติดุลยภาพ
(Income Determination Theory)

จุดประสงค์สำคัญของบทที่ 3 ถึงบทที่ 7 คือ
1. ต้องการอธิบายกระบวนการเกี่ยวกับการกำหนดขึ้นของรายได้ประชาชาติดุลยภาพ
2. การเปลี่ยนแปลงของรายได้ประชาชาติดุลยภาพ
3. ขนาดการเปลี่ยนแปลงของรายได้ประชาชาติดุลยภาพว่าเปลี่ยนแปลงมากน้อยขึ้นกับเหตุปัจจัยใด?

ซึ่งตามหลักทางทฤษฎีเศรษฐศาสตร์มหภาค รายได้ประชาชาติดุลยภาพนั้น สามารถกำหนดขึ้นมาได้จากวิธีการต่าง ๆ ดังนี้
(1)  Income – Expenditure Approach
(2)  Withdrawal – Injection Approach
(3)  Aggregate Demand – Aggregate Supply Approach
(4)  General Equilibrium Approach

(1) Income – Expenditure Approach

Income หมายถึง National Income หรือรายได้ประชาชาติ
Expenditure หมายถึง Desired Aggregate Expenditure หรือความต้องการใช้จ่ายมวลรวม
ระดับที่มีดุลยภาพ คือ รายได้ประชาชาติ(Y) เท่ากับ ความต้องการใช้จ่ายมวลรวม(AE)

เขียนเป็นสมการรายได้ประชาชาติดุลยภาพได้ดังนี้

Y    =  AE

Y    =  Total Output (ระดับรายได้ประชาชาติดุลยภาพ)
AE  =  Desired Aggregate Expenditure (ความต้องการใช้จ่ายมวลรวม)
C    =  Desired Consumption Expenditure (ความต้องการด้านค่าใช้จ่ายในครัวเรือน)
I     =  Desired Investment Expenditure (ความต้องการการด้านการลงทุนภาคเอกชนเบื้องต้น )
G    =  Desired Government Expenditure (ความต้องการด้านรายจ่ายรัฐบาล)
X    =  Desired Export of Goods and Service (ความต้องการด้านมูลค่าการส่งออก)
IM  =  Desired Import of Goods and Service (ความต้องการด้านมูลค่าการนำเข้า)

AE    =  C + I + G + X – IM    ---------- ใช้ค่า Desired Value หรือ Planed Value
   
GDP  =  Ca + Ia + Ga + Xa – Ma -------- ใช้ค่า Actual Value

ระบบปิดไม่มีรัฐบาล  AE = C + I

กรณีสมมติให้ระบบเศรษฐกิจเป็นระบบปิดไม่มีภาครัฐบาล ในกรณีเช่นนี้ก็จะได้ว่า

AE  =  C + I

Consumption Function
C   =  f (Yd, t, i, A, E, L…..) ----------------------(1)
C   =  Desired Consumption Expenditure
Y =  Disposable Income
t     =  Tax Rate
 i    =  Interest Rate
A   =  Consumer’s Wealth
E   =  Expectation
L   =  Consumer’s Debt
S   =  Desired Saving
S   =  f (Yd, t, i, A, E, L…..) ----------------------(2)
C  =  f (Yd)                         ----------------------(3)
S  =  f(Yd)                            ----------------------(4)

 dC > O  ทั้งนี้โดย  dC  คือตัว MPC  ซึ่งย่อมาจาก Marginal propensity to consume  
dYd                       dYd
ซึ่งหมายถึง ตัวที่บอกให้รู้ ว่าเมื่อ Disposable Income ได้เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น หนึ่งหน่วยแล้ว จะมีผลทำให้ความต้องการใช้จ่าย (Desired Consumption Expenditure) เพิ่มขึ้นเท่าไร

 dS > O ทั้งนี้โดย  dS  คือตัว MPS ซึ่งย่อมาจาก Marginal propensity to Save
dYd                     dYd
ซึ่งหมายถึง ตัวที่บอกให้รู้ว่าเมื่อ Disposable Income ได้เพิ่มขึ้นหนึ่งหน่วยแล้ว จะทำให้ความต้องการออม (Desired Saving) เพิ่มขึ้นเท่าไร

ความสัมพันธ์ของ MPC กับ MPS

MPC + MPS = 1 เสมอ ทั้งนี้ก็เพราะว่า

Yd     =  C  +  S                และ
dYd   =   dC  +   dS         หรือ
dYd       dYd      dYd
Yd   =   C  +           หรือ
Yd        Yd      Yd


APC และ APS

 C      =  APC ซึ่งย่อมาจาก Average propensity to consume
 Yd
 S       = APS ซึ่งย่อมาจาก  Average propensity to Save
Yd

APC + APS  = 1  เสมอ

1 = APC + APS

ทำไม O   <   MPC    <   1   และ
          O    <  MPS     <  1

Quiz:
- ณ ระดับรายได้ประชาชาติ ณ จุด Break Even  APC = 1 เพราะอะไร?
   ณ ระดับรายได้ที่ C = Yd  เรียกระดับรายได้นี้ว่า break even

- ณ ระดับรายได้ประชาชาติที่ต่ำกว่า Break Even  APC > 1  and  APS > 0 เพราะอะไร?
   ณ ระดับรายได้ที่ต่ำกว่า break even แสดงว่า C > Yd ซึ่งหมายถึงการใช้จ่ายบริโภคจะมีค่ามากกว่ารายได้ ณ ภาวะนี้การออมจะติดลบ 

- ณ ระดับรายได้ประชาชาติที่สูงกว่า Break Even O < APC < 1  and  O  <  APS  <  1
  and  APC + APS  = 1  เพราะอะไร?
   ณ ระดับรายได้ที่สูงกว่า break even แสดงว่า C < Yd ซึ่งในช่วงนี้เป็นต้นไป การออมจะเริ่มมีค่าเป็นบวก

Consumption function  ของ J. M. Keynes ซึ่งมี Hypothesis ว่าความต้องการใช้จ่ายในการบริโภคเป็น Function เส้นตรงของ Disposable Income ดังสมการที่ (5)
                     C  =   Co + MPC Yd         ------------------------(5)

เพราะฉนั้น    S  =  Yd -  Co -  MPC. Yd   ------------------------(6)
                     S  =  - Co +  (1 - MPC) Yd
                    S  =  - Co +  MPS Yd                                          

ดังนั้น  Saving function  คือ  S  =  - Co + MPS. Y

ความต้องการใช้จ่ายในการลงทุน (Desired Investment Expenditure)
(1) รายจ่ายที่หน่วยธุรกิจต้องการใช้จ่ายเพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่
(2) รายจ่ายที่หน่วยธุรกิจต้องการใช้จ่ายเพื่อก่อสร้างโรงงานใหม่
(3) การเปลี่ยนแปลงในสินค้าคงคลัง

I = f (i,  Y,  ¶,  E,  Cf ,  Te …..)     ----------(7)
I = Desired Investment Expenditure
i = Interest rate
Y = National Income
= Expected profit
E = Expectation
Cf = Confidence
Te = Change in Technology

ความหมายของคำว่า การใช้จ่ายที่ถูกชักนำหรือการใช้จ่ายแบบจูงใจ (Induced Expenditure)  กับการใช้จ่ายแบบคงที่หรือการใช้จ่ายที่ไม่ถูกชักนำ (Autonomous Expenditure)

การกำหนดขึ้นของรายได้ประชาชาติจากวิธี Income – Expenditure Approach
Income – Expenditure Approach
Y AE  
โดย = National Income
AE Desired Aggregate Expenditure

ซึ่งในกรณีระบบเศรษฐกิจปิด  (Closed Economy)  และไม่มีภาครัฐบาลพบว่า
AE = C + I โดย
C = Desired Consumption Expenditure
I = Desired Investment Expenditure

ตารางที่  3
The Aggregate Expenditure Function in a Closed
Economy with No Government  (billions of dollars)

จากตารางที่  3  เมื่อ   AE = C + I     โดย    
 C   =  100 + 0.8Yd  และ  I = 250    ดังนั้น   AE = 100 + 0.8Yd + 250 ซึ่งสรุปได้ว่าเท่ากับดังนี้
AE  =  350 + 0.8Y    (สมมติว่า Y = Yd)


ความโน้มเอียงในการใช้จ่าย (Marginal Propensity to Spend)
คำนวณมาจากสัดส่วนการเปลี่ยนแปลงของความต้องการใช้จ่ายในการบริโภคและการลงทุนต่อการเปลี่ยนแปลงของ Disposable Income ของครัวเรือน ซึ่งหมายความว่า ถ้า Yd เพิ่ม 1 และ I เพิ่มเท่าไร

Z  =  ∆AE   ซึ่ง  O < Z < I
         Y

จุดดุลยภาพ  I    =    S    =    250

ตัวอย่าง  การคำนวณรายได้ประชาชาติดุลยภาพจากสมการคณิตศาสตร์ ซึ่งจากข้อมูลในตารางที่ 3 กำหนดให้
C   =   100 + 0.8 Y และ  S  =  - 100 + 0.2Y
I    =   250
เนื่องจาก        AE  =   C + I
ดังนั้น      AE  =  100 + 0.8 Y + 250
                      AE  =  350 + 0.8 Y

การหาคำตอบตามวิธีที่หนึ่ง
รายได้ประชาชาติดุลยภาพจะถูกกำหนด ณ จุดที่รายได้ประชาชาติ = AE
ดังนั้น       Y      =  350 + 0.8 Y
              0.2 Y  =  350
                   Y   =  1,750  พันล้าน  US$
เป็นระดับรายได้ประชาชาติดุลยภาพ

การหาคำตอบตามวิธีที่สอง
การลงทุน  =  การออม (สมมติว่าเป็นระบบปิดไม่มีรัฐบาล)
       250    =   - 100 + 0.2 Y
     0.2 Y   =   350
          Y    =  1,750  พันล้าน  US$
ซึ่งก็ได้ระดับรายได้ประชาชาติดุลย เช่นกัน

การเปลี่ยนแปลงของรายได้ประชาชาติ
ดุลยภาพ กรณีเน้นบทบาทของอุปสงค์รวม (Changes in National Income I : The Role of Aggregate Demand)
(1) Movements Along the Curves
(2) Shifts of the AE Curves


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

อยากรู้เรื่องทฤษฎีการตลาดกับผู้เชี่ยวชาญ ผมแนะนำ M.B.A. (Marketing) Ramkhamkaeng .. แต่ถ้าอยากรู้ว่าเรียนการตลาดแล้วจะประยุกต์ใช้กับธุรกิจประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงินได้อย่างไร คุณต้องมีโค้ชแนะนำ ครับ

วางแผนการเงินกับ #finadvisor #ความมั่งคั่งเริ่มต้นที่นี่ finadvisor.co
โค้ชส่วนตัว ช่วยวางแผน

×
News