23 กรกฎาคม 2557

BUS 6015 : สรุปบทที่ 2 การจัดการคุณภาพ


หนังสือ การจัดการดำเนินงาน (Operations Managements)
เขียนโดย Russell & Taylor เรียบเรียงโดย ดร.ภูษิต วงศ์หล่อสายชล

บทที่ 2 การจัดการคุณภาพ (Quality Management)

ความหมายคุณภาพ [P.14] --> Final ออกบ่อย
คุณภาพ คือ คุณลักษณะของสินค้าหรือบริการที่สามารถตอบสนองความต้องการโดยปราศจากข้อบกพร่อง กำหนดได้ใน 2 มุมมองคือ
  1. มุมมองของลูกค้า ได้แก่ การสร้างความพึงพอใจและเหมาะสมต่อการใช้งาน
  2. มุมมองของผู้ผลิต ได้แก่ การออกแบบและผลิตได้ตามมาตรฐานที่กำหนดไว้


มิติคุณภาพสินค้า (Dimensions of Products Quality) [P.14] --> Final ออกบ่อย
  1. คุณสมบัติ (Performance) หมายถึง สินค้าสามารถใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
  2. คุณลักษณะพิเศษ (Features) หมายถึง ลักษณะพิเศษของสินค้าที่แตกต่างจากคู่แข่งอย่างชัดเจน
  3. ความน่าเชื่อถือ (Reliability) หมายถึง สินค้านั้นสามารถใช้งานได้ทุกครั้งตามที่ต้องการ
  4. ความสอดคล้อง (Conformance) หมายถึง คุณลักษณะสินค้าที่เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้
  5. ความคงทน (Durability) หมายถึง สินค้ามีอายุการใช้งานที่ยาวนานในระดับหนึ่ง
  6. ความสามรถในการบริการ (Serviceability) หมายถึง ความสามารถในการให้บริการโดยเฉพาะการบริการหลังการขาย
  7. สุนทรียภาพ (Aesthetics) หมายถึง รูปลักษณ์ภายนอกของสินค้าที่เกี่ยวข้อง เช่น รูป รส กลิ่น เสียง
  8. ความปลอดภัย (Safety) หมายถึง สินค้าต้องไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคในการใช้งาน
  9. การรับรู้ (Perceptions) หมายถึง สินค้าควรมีภาพลักษณ์ที่ดีในมุมมองของลูกค้า 
มิติคุณภาพบริการ (Dimensions of Services Quality) [P.15] --> Final ออกบ่อย
  1. ความทันเวลาหรือเวลาในการรอคอย (Time and Timeliness) หมายถึง ระยะเวลาที่ลูกค้ารอคอยในการใช้บริการ
  2. ความสมบูรณ์ (Completeness) หมายถึง บริการที่ลูกค้าร้องขอหรือทุกขั้นตอนในการบริการที่ลูกค้าต้องได้รับการจัดหาหรือบริการได้อย่างครบถ้วน
  3. ความสุภาพหรือเอาใจใส่ (Courtesy) หมายถึง การเอาใจ่ใส่ การพูดจา และการปฎิบัติตัวขณะให้บริการกับลูกค้าที่ดี
  4. ความสม่ำเสมอ (Consistency) หมายถึง ความสม่ำเสมอในการบริการและให้บริการลูกค้าในระดับเดียวกัน ไม่ว่าลูกค้าคนนั้นจะเป็นใคร
  5. การเข้าถึงได้ง่ายและความสะดวก (Accessibility and Convenience) หมายถึง ความง่ายและความสะดวกที่ลูกค้าจะเข้าไปใช้บริการ
  6. ความเที่ยงตรง (Accuracy) หมายถึง การบริการต้องมีความแม่นยำและถูกต้องเสมอ
  7. การตอบสนองอย่างทันท่วงที (Responsiveness) หมายถึง การที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทันทีทันใดในสภาวะการบริการที่ปกติและไม่ปกติ
ต้นทุนคุณภาพ (Cost of Quality) [P.24]
คือ ต้นทุนการพัฒนาคุณภาพและป้องกันข้อบกพร่องของสินค้า แบ่งเป็น
  1. ต้นทุนจากคุณภาพที่ดี ได้แก่
    - ต้นทุนการป้องกัน (Prevention Cost) เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายหรือความบกพร่องในการทำงาน เช่น ต้นทุน การออกแบบสินค้า, การผลิต, ฝึกอบรม, วางแผน
    - ต้นทุนการตรวจวัดและประเมิน (Appraisal Costs) เป็นค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบและการวัดคุณภาพของสินค้า เช่น ค่าตรวจสอบเครื่องจักร, เงินเดือน, ค่าบำรุงรักษา
  2. ต้นทุนจากคุณภาพไม่ดี ได้แก่
    - ต้นทุนความบกพร่องภายใน (Internal Failure Costs) เป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ไขงานใหม่ก่อนส่งสินค้าหรือบริการถึงลูกค้าเพราะคุณภาพงานไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด เช่น ค่าจ้างแรงงาน, ค่าวัตถุดิบ, ค่าพลังงาน
    - ต้นทุนความบกพร่องภายนอก (External Failure Costs) เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากข้อบกพร่องของสินค้าหรือบริการหลังส่งถึงลูกค้า เช่น ต้นทุนซ่อมแซม, ความเสียหาย, การสูญเสีย



ผลกระทบของการจัดการคุณภาพกับความสามารถในการผลิต 
(The Effect of Quality Management on Productivity)



การวัดปริมาณผลผลิตดีและผลิตภาพ
(Measuring Product Yield and Productivity)

ตัวอย่าง การหาปริมาณผลผลิตดี
บริษัท H&S มอเตอร์ จำกัด เริ่มการผลิตสำหรับแบบเฉพาะของมอเตอร์กับตัวครอบมอเตอร์ที่ทำจากเหล็กกล้า กระบวนการผลิตเริ่มจากมอเตอร์ 100 ตัวต่อวัน เปอร์เซ็นต์ของมอเตอร์ที่ดีที่ถูกผลิตในแต่ละวันโดยเฉลี่ยเท่ากับ 80% และ เปอร์เซ็นต์ของมอเตอร์บกพร่องที่แก้ไขได้เท่ากับ 50% บริษัทต้องการทราบผลผลิตต่อวันและผลกระทบต่อผลิตภาพ ถ้าเปอร์เซ็นต์ของมอเตอร์ที่ดีที่ถูกผลิตต่อวันเพิ่มขึ้นเป็น 90%
วิธีทำ
I      = 100 --> กระบวนการผลิตเริ่มต่อวัน
%G =   80 --> เปอร์เซ็นต์ของดีถูกผลิตในแต่ละวันโดยเฉลี่ย
%R =   50 --> เปอร์เซ็นต์ของบกพร่องที่แก้ไขได้ในแต่ละวันโดยเฉลี่ย
                               
                               ผลผลิตดี     +  ผลผลิตบกพร่องแก้ไขได้
ผลผลิตดี(Yield)  = (100 x 80%) + (100 x 20% x 50%)
                       =  80 + 10  =  90 ตัว

ถ้าเพิ่ม %G = 90;
ผลผลิตดี(Yield) = (100 x 90%) + (100 x 10% x 50%)
                      = 90 + 5   =  95 ตัว

ดังนั้น คุณภาพผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น 10% ส่งผลให้ผลผลิตดีเพิ่มขึ้น 5 ตัว

การหาต้นทุนผลิตภัณฑ์ต่อหน่วย 
(Computing Product Cost per Unit)


การวัดปริมาณผลผลิตดีและผลิตภาพ
(Measuring Product Yield and Productivity)

ตัวอย่าง การหาต้นทุนผลิตภัณฑ์ต่อหน่วย
บริษัท H&S มอเตอร์ จำกัด มีต้นทุนการผลิตต่อหน่วยเท่ากับ $30 และต้นทุนงานแก้ไขมอเตอร์ที่มีคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานที่สามารถแก้ไขได้เท่ากับ $12 ต่อหน่วย จากตัวอย่างบริษัทผลิตมอเตอร์ 100 ตัวต่อวัน มีผลิตภัณฑ์คุณภาพดีโดยเฉลี่ย 80% และที่บกพร่องหรือต่ำกว่ามาตรฐาน 20% โดยจำนวนครึ่งหนึ่งของมอเตอร์ที่บกพร่องหรือต่ำกว่ามาตรฐานสามารถถูกแก้ไขเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพดีได้ แต่อย่างไรก็ตาม จากระบบการจัดการคุณภาพของบริษัทบริษัทมีการค้นพบปัญหาในกระบวนการผลิต และเมื่อทำการแก้ไข (ที่ต้นทุนต่ำที่สุด) จะเพิ่มผลิตภัณฑ์คุณภาพดีเป็น 90% บริษัทต้องการประมาณผลกระทบต่อต้นทุนทางตรงต่อหน่วยของการปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์นี้
วิธีทำ
I      = 100 --> กระบวนการผลิตเริ่มต่อวัน
%G =   80 --> เปอร์เซ็นต์ของดีถูกผลิตในแต่ละวันโดยเฉลี่ย
%R =   50 --> เปอร์เซ็นต์ของบกพร่องที่แก้ไขได้ในแต่ละวันโดยเฉลี่ย
เพิ่ม %G = 90
Kd = 30   --> ต้นทุนการผลิตต่อหน่วย
Kr  = 12   --> ต้นทุนงานแก้ไขต่อหน่วย

ผลผลิตดี(Yield)  = (100 x 80%) + (100 x 20% x 50%)
                       =  80 + 10  =  90 ตัว

ต้นทุนผลิตภัณฑ์ต่อหน่วยเดิมของมอเตอร์
Cost/Unit เดิม =  (100 x 30) + (12 x 10)   
                                      90
                      = 3,000 + 120   =  $34.67 ต่อตัว

ถ้าเพิ่ม %G = 90;
ผลผลิตดี(Yield) = (100 x 90%) + (100 x 10% x 50%)
                      = 90 + 5   =  95 ตัว
ต้นทุนผลิตภัณฑ์ต่อหน่วยของมอเตอร์ภายหลังการปรับปรุงคุณภาพ คือ
 Cost/Unit ใหม่ = (100 x 30) + (12 x 5)
                                    95
= 3,000 + 60  =  $32.21 ต่อตัว
                                 95
การปรับปรุงกระบวนการผลิตตามระบบการจัดการคุณภาพจะส่งผลในการลดต้นทุนผลิตภัณฑ์ต่อหน่วยลง 34.67-32.21 = $2.46 สำหรับต้นทุนการผลิตทางตรงต่อหน่วยคงเดิมและเพิ่มผลผลิตดีขึ้น 5 ตัว 

การวัดปริมาณผลผลิตดีและผลิตภาพ 
(Measuring Product Yield and Productivity)
การหาปริมาณผลผลิตดีสำหรับกระบวนการผลิตที่มีกระบวนการผลิต n ขั้นตอน

Y  = (I)(%G1)(% G2) . . . (%Gn)

เมื่อ
I   =   ปัจจัยนำเข้า
Gi =   เปอร์เซ็นต์ของผลผลิตที่ดีของขั้นตอน i ในกระบวนการ

อัตราส่วนระหว่างคุณภาพและผลิตภาพ
(The Quality – Productivity Ratio : QPR)


ค่า QPR เพิ่มขึ้นถ้าต้นทุนการผลิตหรือต้นทุนงานแก้ไข หรือต้นทุนทั้งสองประเภทลดลง และค่า QPR จะเพิ่มขึ้นถ้าผลผลิตที่มีคุณภาพดีถูกผลิตมากขึ้น

** ออกสอบส่วน Final **
แนวการตอบ ดร.ภูษิต ให้อ้างทฤษฎีแล้วยกตัวอย่างประกอบ

วิวัฒนาการในการจัดการคุณภาพ (The Evaluation of Quality Management)

W. Edwards Deming  [P.16]



ปรัชญาการจัดการคุณภาพ  14 ประการ -->เน้นข้อสีแดง
  1. สร้างเป้าหมายระยะยาวขององค์กรที่มุ่งการปรับปรุงคุณภาพสินค้าหรือบริการอย่างต่อเนื่อง
  2. เปิดรับแนวคิดและปรัชญาการทำงานที่เน้นไปที่การป้องกันคุณภาพสินค้าที่ไม่ดี แทนที่การกำหนดระดับของข้อบกพร่องที่ยอมรับได้
  3. เปลี่ยนระบบการควบคุมคุณภาพจากที่เน้นไปที่การตรวจสอบเพื่อสร้างคุณภาพ ไปเป็นการควบคุมคุณภาพเชิงสถิติในการสร้างคุณภาพให้กับสินค้าและกระบวนการ
  4. คัดเลือกผู้จัดหาวัตถุดิบหรือผู้ผลิตวัตถุดิบบนพื้นฐานของคุณภาพสินค้ามากกว่าราคาที่ต่ำ
    Garbage in, Garbage out (ใส่ขยะเข้าไป ผลลัพธ์ก็เป็นขยะออกมา) 
  5. ปรับปรุงกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นไปที่ระบบและพนักงาน
  6. มีการฝึกอบรมกับพนักงานอย่างสม่ำเสมอ ให้เรียนรู้การป้องกันปัญหาคุณภาพ และการใช้เทคนิคการควบคุมคุณภาพเชิงสถิติ
  7. สร้างภาวะผู้นำให้เกิดขึ้นกับหัวหน้างานเพื่อให้สามารถช่วยเหลือพนักงานให้ทำงานได้ดีขึ้น
  8. ขจัดความกลัวของพนักงานในการระบุปัญหาและเสนอความคิดเห็นในการปรับปรุงคุณภาพด้วยการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ 
    - กลัวการยอมรับผิด
    - กลัวการเปลี่ยนแปลง
  9. ทำลายอุปสรรคในการติดต่อประสานงานระหว่างฝ่ายต่างๆ ในองค์กร โดยมุ่งเน้นการทำงานเป็นทีม
  10. ลดการใช้คำขวัญหรือเป้าหมายเชิงตัวเลขที่ปราศจากแนวทางการปฏิบัติหรือตัวอย่างการทำงาน 
  11. ขจัดเป้าหมายที่เป็นจำนวนตัวเลขเพื่อให้พนักงานพยายามทำให้ได้ตามต้นทุนที่กำหนด โดยไม่ได้พิจารณาด้านคุณภาพ
  12. สร้างความภาคภูมิใจในการทำงานให้กับพนักงานทุกระดับ
    - อย่าปล้นความภูมิใจไปจากลูกน้อง
  13. จัดให้การศึกษาและฝึกอบรมเพื่อเพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับวิธีการปรับปรุงคุณภาพตลอดทั่วทั้งองค์กรทุกระดับและทุกฝ่าย ซึ่งจะส่งผลทำให้การปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่องสามารถเกิดขึ้นได้
  14. ผู้บริหารระดับสูงต้องสนับสนุนปรัชญาการบริหาร 13 ประการที่กล่าวมาให้เกิดขึ้น
    - ระบุจำนวนข้ออธิบายมา เช่น 3 ประการ (ข้อ 4, 8, 12)

Philip Crosby [P.18]

คุณภาพ คือ สิ่งที่ไม่ต้องเสียเงิน เพราะถ้าสินค้ามีคุณภาพที่ดี ก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ในการแก้ไข แต่ถ้าคุณภาพสินค้าและบริการไม่ดีหรือมีคุณภาพต่ำ ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการแก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้น
- Free ให้รู้จักการป้องกัน จะได้ไม่ต้องเสียเงินแก้ไข

ความสำคัญกับการมุ่งลดข้อผิดพลาดของสินค้าและบริการให้เป็นศูนย์ โดยการผลิตสินค้าหรือบริการให้มีคุณภาพตั้งแต่ครั้งแรก ซึ่งเป็นวิธีการที่เน้นการป้องกันปัญหามากกว่าวิธีการแก้ไขปัญหา ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนคุณภาพสินค้าและบริการลดลงนั่นเอง
- Zero Defect เป็นการตั้งเป้าหมายไว้ ให้ทำถูกตั้งแต่ขั้นแรก

Kaoru Ishikawa [P.18]

เสนอวัฏจักรคุณภาพ (Quality Cycles) และ เครื่องมือคุณภาพ (Quality Tools) อีกทั้งยังเน้นให้ความสำคัญต่อการเข้าใจความต้องการของลูกค้าภายในองค์กร เพื่อใช้เป็นพื้นฐานในการผลิตสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ เพื่อนำไปสู่การเป็นองค์กรคุณภาพ
- 7 QC Tools

เครื่องมือการจัดการคุณภาพ (Quality Tools) ของ Kaoru Ishikawa [P.18]
  1. แผ่นรายการตรวจสอบ (Check Sheet)
    - บันทึกข้อมูลรายละเอียดที่ต้องการเพื่อใช้ในการควบคุม ปรับปรุง และแก้ไขปัญหา
    - ออกแบบให้ง่ายต่อการบันทึกข้อมูลตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
    - เหมาะกับกิจกรรมที่เกี่ยวกับการค้นหาปัญหา แก้ปัญหา หรือการปรับปรุงคุณภาพ
    - ตัวอย่างใช้เก็บข้อมูล ในห้องน้ำ, ลิฟท์
  2. การวิเคราะห์พาเรโต (Pareto Analysis)
    - การจัดลำดับความสำคัญของปัญหาเพื่อค้นหาปัญหาที่เกิดขึ้นหรือส่งผลกระทบมากที่สุด แล้วนำปัญหานั้นมาทำการแก้ไข จากนั้นก็นำปัญหาที่มีความสำคัญรองลงมามาแก้ไข
    - กฎ 80/20 สิ่งที่สำคัญจะมีเพียง 20% ของสิ่งที่ไม่สำคัญอีก 80%
    - เช่น ร้าน 7-11 มีสินค้าเป็นจำนวนมากหลายพันรายการ รายได้กว่า 80 %
    มาจากรายการสินค้าเพียง 20 % จากรายการสินค้าทั้งหมดที่วางขายอยู่ในร้าน




  3. แผนผังการกระจาย (Scatter Diagram)
    - ใช้ดูความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่ต้องการทราบว่ามีความสัมพันธ์กันหรือไม่ ถ้ามีความสัมพันธ์กัน จะมีความสัมพันธ์ในทิศทางใด
    - ความสัมพันธ์เชิงบวก Aเพิ่ม , Bเพิ่ม
    - ความสัมพันธ์เชิงลบ  Aลด,  Bลด
  4. แผนผังแสดงสาเหตุและผล (Cause-and-Effect Diagram)
    - แผนผังก้างปลา (Fishbone Diagram) --> ต้องเป็นปลาตะเพียน (ก้างกระจายปัญหาเยอะ)
    - แผนผังอิชิกาว่า (Ishikawa Diagram)
    - เน้นการตั้งคำถามว่า “ทำไม”
    - ช่วยให้มองเห็นสาเหตุต่างๆ ของปัญหาที่เกิดขึ้น
    - สาเหตุหลักเป็นกลุ่ม 4 กลุ่มหรือ 4M คือ บุคลากร, วิธีการ วัตถุดิบ และเครื่องจักร
      + 2E คือ สิ่งแวดลอม พลังงาน

  5. แผนผังการไหลของกระบวนการ (Process Flowchart)
  6. แผนภาพฮิสโตแกรม (Histogram)
  7. แผนภูมิควบคุม (Statistical Process Control Chart)
ระบบการจัดการคุณภาพ (Quality Management System) [P.22]
  1. การจัดการคุณภาพองค์รวม Total Quality Management, TQM
  2. การจัดการคุณภาพในห่วงโซ่อุปทาน Quality Management in the Supply Chain
  3. ระบบ Six Sigma
  4. การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง (Kaizen) [P.23]
    - นำมาใช้ปรับปรุงพัฒนาอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง เป็นการทำงานร่วมกันของทุกคนในองค์กรที่ร่วมมือกันพัฒนาคุณภาพกระบวนการหรือผลิตภัณฑ์ทีละเล็กละน้อย ดำเนินการอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ ประสานงานจากทุกฝ่าย
    - Continuous improvement พัฒนาจากล่างสู่บน bottom up



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

อยากรู้เรื่องทฤษฎีการตลาดกับผู้เชี่ยวชาญ ผมแนะนำ M.B.A. (Marketing) Ramkhamkaeng .. แต่ถ้าอยากรู้ว่าเรียนการตลาดแล้วจะประยุกต์ใช้กับธุรกิจประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงินได้อย่างไร คุณต้องมีโค้ชแนะนำ ครับ

วางแผนการเงินกับ #finadvisor #ความมั่งคั่งเริ่มต้นที่นี่ finadvisor.co
โค้ชส่วนตัว ช่วยวางแผน

×
News